แม้จะเป็นประเทศที่เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเยี่ยมชมสถานที่สำคัญๆ ของประเทศได้ไม่นาน แต่เอสโตเนียก็ได้รับการกล่าวขานในเรื่องของสถานที่ท่องเที่ยว ที่ใครต่อใครหลายๆ คนอยากจะเดินทางมาสัมผัส ซึ่งหลังจากที่เอสโตเนียประกาศเอกราชปีพ.ศ. 2461 ครั้งแรกก่อนจะถูกยึดครองโดยสหภาพโซเวียต นาซีเยอรมนี และสหภาพโซเวียตอีกครั้ง
แต่หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศเอสโตเนียได้กลับมาเป็นรัฐเอกราชอีกครั้ง ภายหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต โดยประเทศเอสโตเนียได้เข้าร่วมนาโตและสหภาพยุโรปในปี พ.ศ. 2547 ทำให้เอสโตเนียกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง และพร้อมที่จะแบ่งปันความงามและสถานที่สำคัญในอดีตให้กับชาวโลกได้ยลกัน
ลักษณะภูมิประเทศ
สาธารณรัฐเอสโตเนีย เป็นรัฐอธิปไตยตั้งอยู่เหนือสุดของคาบสมุทรบอลติก ทวีปยุโรปเหนือ มีลักษณะภูมิประเทศซึ่งเต็มไปด้วยแอ่งน้ำมีพื้นที่ราบต่ำ เป็นหนึ่งในประเทศที่มีทัศนียภาพที่สวยงามโดยมีพื้นที่ราบ ภูเขา ทะเลสาบ ป่าที่อุดมสมบูรณ์ เกาะที่มีความสวยงาม และหน้าผาหินปูน โดยมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศต่างๆ คือ ทิศเหนือมีอาณาเขตติดกับอ่าวฟินแลนด์ มีพรมแดนทางทิศใต้ติดกับประเทศลัตเวีย ส่วนทิศตะวันตกติดทะเลบอลติก และทิศตะวันออกติดกับประเทศรัสเซีย ซึ่งเอสโตเนียมีพื้นที่ทั้งหมด 45,227 ตารางกิโลเมตร และใหญ่เป็นอันดับที่ 131 ของโลก
การแบ่งเขตการปกครอง
การปกครองในประเทศเอสโตเนีย เป็นการปกครองด้วยระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย แบบรัฐสภา โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข ซึ่งไม่มีอำนาจในการบริหารบ้านเมืองแต่จะดำรงตำแหน่งวาระอยู่ประมาณ ๕ ปี ซึ่งได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกรัฐสภา โดยมีสมาชิก ๑๐๑ คน เอสโตเนียมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาล มีการแบ่งเขตการปกครองออกเป็นเทศมณฑลจำนวน ๑๕ เทศมณฑล โดยมีเมืองหลวงชื่อว่า ทาลลินน์ แต่ละเทศมณฑลจะมีเมืองหลวง ประกอบไปด้วย
ฮาร์ยู มีเมืองหลวงคือ ทาลลินน์ ,แยร์วา มีเมืองหลวงคือ บาร์วาอ,ฮีอู มีเมืองหลวงคือ แคร์ดลา,ยอเกวา มีเมืองหลวงคือ ยอเกวา,แลแอเน มีเมืองหลวงคือ แฮแปซาลู,อีดา-วีรู มีเมืองหลวงคือ ยอห์วี,ปอลวา มีเมืองหลวงคือ ปอลวา,วัลกา มีเมืองหลวงคือ วัลกา,แลแอเน-วีรู มีเมืองหลวงคือ ราคเวเร,ราปลา มีเมืองหลวงคือ ราปลา ,ตาร์ตู มีเมืองหลวงคือ ตาร์ตู ,แปร์นู มีเมืองหลวงคือ แปร์นู ,ซาเร มีเมืองหลวงคือ คูเอสซา,วอรู มีเมืองหลวงคือ วอรู,วิลยันดี มีเมืองหลวงคือ วิลยันดี
ประชากรและวัฒนธรรม
ประเทศเอสโตเนียมีจำนวนประชากรน้อยที่สุดในประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป โดยมีประชากร กว่า1.3 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นชนชาติเอสโตเนีย รองลงมาคือชนชาติรัสเซีย,ชนชาติยูเครน ,ชนชาติเบลารุสเซีย ,ฟินแลนด์ ซึ่งชาวเอสโตเนี่ยน ใช้ภาษาเอสโตเนีย เป็นภาษาราชการ นอกจากนั้นยังมีใช้ภาษารัสเซีย และภาษาละติน ศาสนาที่มีคนนับถือมากที่สุดคือ ศาสนาคริสต์นิกายลูเธอรัน แต่สำหรับชาวรัสเซียในเอสโตเนียนับถือศาสนาแคทอลิกนิกายออร์ธอดอกซ์
การเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอ ทั้งธรรมชาติที่มีผลโดยตรงกับมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ และเวลาที่เปลี่ยนไป จึงทำให้ แนวความคิด ประสบการณ์ ของคนแต่ละสังคมยอมปรับตามสภาพกาล เมื่อมีการเปลี่ยน คนในสังคมก็มีการคิดสร้างสรรค์ และปรับตัวให้เหมาะสมตามสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อการกระทำปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประเพณี และวัฒนธรรมใหม่ๆ เมืองทาลลินน์ จึงเป็นอีกประเทศหนึ่งในทวีปยุโรปที่มีวัฒนธรรมต่างๆ คล้ายคลึงกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน
สภาพภูมิอากาศของเอสโตเนีย
ประเทศเอสโตเนียมีสภาพภูมิอากาศแบบชายทะเล หน้าร้อนอากาศค่อนข้างเย็นสบาย และจะมีความเฉอะแฉะในช่วง ฝนตก ส่วนช่วงหน้าหนาวสภาพอากาศหนาวเย็นปานกลาง ส่วนนอกจากนี้ ในช่วงฤดูใบไม้ผลิอาจจะเกิดน้ำท่วมบ้าง บางครั้ง ถือเป็นภัยธรรมชาติที่ไม่ได้ส่งผลรุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในประเทศเท่าใดนัก
โซนเวลาของเอสโตเนีย
เขตเวลามาตรฐานของประเทศเอสโตเนียใช้เขตเวลามาตรฐานแบบ 2+ ชั่วโมง ซึ่งจะมีการปรับเวลาไปตามฤดูกาล + 1ชั่วโมง และชดเชยเวลาตามเขตแบ่งเวลาปัจจุบัน 3+ชั่วโมง โดยการปรับเวลาของประเทศเอสโตเนียจะมีการปรับ 2 ช่วงเวลา โดยเวลาจะปรับเลื่อนไปข้างหน้า 1 ชั่วโมง คือ เริ่มปรับเวลาในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนมีนาคม หลังจากนั้นในอาทิตย์สุดท้ายของเดือนตุลาคม การกำหนดการปรับเวลาจะสิ้นสุดลง โดยจะปรับเวลาเลื่อนมาข้างหลัง 1 ชั่วโมงซึ่งตรงตามเวลาสากลปกติ แต่เมื่อเทียบระยะเวลาที่แตกต่างจากประเทศไทย ในช่วงปลายเดือนมีนาคม ถึง ปลายเดือนตุลาคม เวลาของเอสโตเนียจะเดินช้ากว่าประเทศไทย 4 ชั่วโมง และเดินช้า 5 ชั่วโมงในเดือนที่ไม่ได้มีการปรับเวลา
ค่าเงินที่ใช้ในเอสโตเนีย
สกุลเงินที่ใช้ในประเทศเอสโตเนีย ก็คือ สกุลเงิน ยูโร 1 ยูโร เท่ากับประมาณ 45.32 บาท ซึ่งราคาการแลกเปลี่ยนแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน อาจจะทำการแลกเงินยูโรไปก่อน แล้วค่อยไปแลกเป็นสกุลเงินท้องถิ่นของเอสโตเนีย เพราะการใช้เงินสกุลยูโร ร้านค้าตามพื้นที่นอกเมืองส่วนใหญ่ ไม่ค่อยรับเงินยูโร
ระบบไฟฟ้าในประเทศเอสโตเนีย
ระบบการใช้กระแสไฟฟ้า ของประเทศ เอสโตเนียคือ 230 โวลต์ 50 Hz มักเป็น 2 ขากลมแบบยุโรที่เป็นมาตรฐาน บางแห่งเป็นเบ้าลึกลงไป ส่วนใครที่ใช้กล้องถ่ายรูปแบบ และ โทรศัพท์มือถือ ที่ต้องเสียบปลั๊กควรตรวจสอบว่าที่ชาร์จไฟมีขาแบบใด หรืออาจเตรียมแอดบเตอร์สำหรับปลั๊กไฟไปด้วย
การใช้โทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตสำหรับนักท่องเที่ยว
หากคุณต้องการให้คนที่อยู่เมืองไทยติดต่อมานเอสโตเนีย จะต้องกดรหัส+372 ซึ่งเป็นรหัสโทรศัพท์ของประเทศเอสโตเนีย ส่วนถ้าจะโทรกลับเมืองไทย คุณสามารถโทรโดยใช้บัตรโทรศัพท์ หรือ โทรจากโรงแรมที่คุณท่านไปพักก็ได้เช่นกัน
หากไม่ต้องการสมัครแพ็คเก็จลองใช้อินเทอร์เน็ต ที่ผ่านไวไฟ ของโรงแรมฟรีก็ได้ ส่วนใครที่ไม่อยากเสียเงินเยอะ เพราะกลัวว่าหากเปิดโรมมิ่งจากศูนย์โทรศัพท์ไทยแล้ว จะเสียค่าใช้จ่ายเกิน ก็ให้ซื้อซิมการ์ดของประเทศเอสโตเนีย แล้วสอบถามแพ็คเก็จหรือโปรโมชั่นอีกครั้ง การใช้ซิม มีราคาไม่แพง ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านสะดวกซื้อ หรือร้านโทรศัพท์โดยตรง ซึ่งระบบโทรศัพท์เป็นระบบเดียวกันกับของไทย สามารถซื้อซิมมาใส่เครื่องที่นำมาจากไทยได้
สินค้าและของฝากจาก เอสโตเนีย
เพราะที่เอสโตเนีย ต่างก็มีชนเผ่าพื้นเมือง รวมถึงกลุ่มคนหลายเชื้อชาติ ทำให้มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากใครที่ได้มีโอกาสไปเยือนถิ่น เอสโตเนียแล้ว หากเป็นในเมืองกรุง หรือเมืองหลวงอย่างทาลลินน์ อาจจะมีอะไรให้เลือกมากมาย เพราะเป็นเมืองสำคัญ ส่วนตามเมืองอื่นๆ ก็จะมีงานสินค้าพื้นเมือง ที่ส่วนใหญ่เป็นงานแฮนด์เมด ซึ่งของฝากส่วนใหญ่ที่นักท่องเที่ยวนิยมซื้อกันก็คือ เครื่องประดับพวกอำพัน ,งานไม้แกะสลัก ,ช็อกโกแลต,โปสการ์ด,งานศิลปะพื้นเมือง
อาหารที่ขึ้นชื่อของเอสโตเนีย
อาหารดั้งเดิมของชาวเอสโตเนี่ยน ส่วนใหญ่นิยมใช้เนื้อสัตว์ เนื้อปลาและมันฝรั่งในการประกอบอาหาร ในปัจจุบันได้รับอิทธิพลมาจากวัฒนธรรมจากชาวรัสเซีย เยอรมัน สแกนดิเนเวีย ซึ่งอาหารส่วนมากที่ทำก็มีลักษณะคล้าย ๆ กันกับในกลุ่มประเทศยุโรปเหนือ เสิร์ฟอาหารเป็น Set Course แต่มีรายละเอียดความเป็นชาวเอสโตเนี่ยนอยู่
Cold Dishes
ปัจจุบันยังมีวัฒนธรรมการเสิร์ฟอาหารแบบดั้งเดิมของชาวเอสโตเนี่ยนคือ การเสิร์ฟอาหารจานแรกด้วย Cold Dishes โดยเลือกเนื้อสัตว์หรือไส้กรอกเสิร์ฟพร้อมกับสลัดมันฝรั่งคล้ายของรัสเซีย
Soup
มีซุปอยู่หนึ่งชนิดที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเอสโตเนี่ยน คือ Leivasupp เป็นซุปที่มีรสชาติหวาน ทำจากขนมปังดำและแอปเปิ้ล นิยมเสิร์ฟพร้อมกับวิปปิ้งครีม บางครั้งเสิร์ฟพร้อมชินนาม่อนโรยน้ำตาล
Main course
ถือเป็นจานหลักของชาวเอสโตเนี่ยน ซึ่งจะประกอบด้วยเนื้อสัตว์ทั่วๆไป ทานคู่กับขนมปังไรดำที่ทำจากข้าวไร ขนมปังไรเป็นที่นิยมมากในกลุ่มประเทศยุโรปเหนือ เนื่องจากบางส่วนของเอสโตเนียมีภูมิอากาศหนาวและไม่ได้อุดมสมบูรณ์เรื่องเกษตรกรรมเท่าใดนัก หากขนมปังตกลงพื้น ชาวเอสโตเนี่ยนจะหยิบมันขึ้นมา แล้วบรรจงจูบมันเพื่อแสดงความนับถือและกินขนมปังชิ้นนั้นเพื่อสอนให้รู้จักคุณค่าของอาหารทุกชิ้น
ของหวาน
มีของหวานที่ให้เลือกหลากหลายชนิด ซึ่งเป็นของท้องถิ่นที่ชาวเอสโตเนี่ยนนิยมทาน ไม่ว่าจะเป็น Kissel (แครนเบอร์รี่ พุดดิ้ง), Mannavaht (a cream made of semoline and juice or fruit) ,Kringle ขนมสแกนดิเนเวียนพาสตี้ ซึ่งเป็นขนมที่คล้ายโดนัทกรอบ นิยมกันมากในแถบยุโรปเหนือ
เครื่องดื่ม
ตามท้องถิ่นของชาวเอสโตเนี่ยนคือที่มักจะดื่มเครื่องดื่ม Kali ซึ่งเป็นเครื่องดื่มไร้แอลกอฮอล์ นักท่องเที่ยวที่ได้ลิ้มลอง ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เหมือนโคคาโคล่า แต่ตัวเลือกแรกของชาวเอสโตเนี่ยนในปัจจุบันคือเบียร์สดท้องถิ่น หรือไม่ก็เป็นไวน์ที่ทำจากแอปเปิลหรือเบอร์รี่ที่หลากหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ตามท้องถิ่นจะนิยมหมักผลไม้เหล่านี้เพื่อทำเป็นเครื่องดื่ม ไว้สำหรับคริส มาสต์ หรือฤดูหนาว
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศเอสโตเนีย
เอสโตเนีย เป็นหนึ่งในประเทศที่มีทัศนียภาพที่สวยงาม มีทั้งทะเลสาบและเกาะที่มีความสวยงาม รวมถึงสถาปัตยกรรมต่างๆ ที่มีความสวยงามแก่ผู้มาเยือนรวมถึงประวัติศาสตร์อันยาวนาน นักท่องเที่ยวนิยมเริ่มต้นการท่องเที่ยว ที่กรุงทาลลินน์ ซึ่งเมืองหลวงของประเทศ เพื่อพักผ่อน
เนื่องจากทาลลินน์เป็นเมืองหลวงที่เก่าแก่ที่สุดในยุโรปเหนือ ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมโบราณ และอนุสาวรีย์สำคัญหลายแห่ง นอกจากนั้นยังมีหอประจำเมืองเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสำคัญเป็นมาก ซึ่งมีการก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 และทั่วทั้งทาลลินน์เต็มไปด้วยโบสถ์เก่าแก่ และสิ่งปลูกสร้างที่มีความสวยงามอื่นๆ นอกจากความงดงามของอดีตที่ผ่านมาแล้ว กรุงทาลลินน์ยังเต็มไปด้วยบาร์ ร้านกาแฟ ร้านอาหาร และชีวิตยามราตรีที่คึกครื้นอีกด้วย
เอสโตเนีย เป็นแดนแห่งสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวของยุโรปตอนเหนือ ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของเมือง ที่มีความเย้ายวนใจ และอยากให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนเป็นจำนวนมาก และดูเหมือนจะค่อยๆเพิ่มขึ้นในทุกๆปี โดยเฉพาะกรุงทาลลินน์ ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ และยังเป็นเมืองท่าหลักที่มีความสำคัญทางด้านการท่องเที่ยวของเอสโตเนีย และเป็นเมืองที่ได้ชื่อว่ามีความเก่าแก่ที่สุดในทะเลบอลติค
กรุงทาลลินน์
กรุงทาลลินน์ ที่นักท่องเที่ยวหลายคนต่างก็พากันหลงเสน่ห์ของเมืองท่าเก่าแก่ โดยเฉพาะบริเวณย่านเมืองเก่าของทาลลินน์ ที่เต็มไปด้วยอาคารและมีสถาปัตยกรรมเก่าแก่ ที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของชาว เอสโตเนีย ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ชอบมาเริ่มต้นกันที่ สอเมืองเก่าอย่าง Lower Town และ Toompea ซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถใช้วิธีการเดิน หรือ ขี่จักรยานชมไปรอบเมือง เพื่อทำการชมซากปรักหักพังและร่องรอยสิ่งก่อสร้างตั้งแต่ ศตวรรษที่ 18-19
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
Rocca-al-Mare หรือ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง มีการจัดแสดงกังหันลมแบบโบราณ ของวิหาร Sutlepa และอาคาร Kolu tavern และยังสามารถเที่ยวชมความงดงามของ ปราสาท Toompea Castle ที่มีความโดดเด่นด้วยการตกแต่งทาสีชมพูสดใส โดยสร้างมาตั้งแต่ตอนต้นของศตวรรษที่ 13 ตัว แต่ปัจจุบันกลายเป็นตึกทำการรัฐสภาไปแล้ว
พระราชวัง Kadriorg Palace
พระราชวัง Kadriorg Palace และสวนสไตล์อังกฤษ ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นที่ประทับในช่วงฤดูร้อนของพระเจ้าปีเตอร์ มหาราช ถูกสร้างขึ้นในปีค.ศ.1718 ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ KUMU ซึ่งที่นี่ใช้ในการแสดงแกลเลอรี่ศิลปะ
Pirita
Pirita ลองเดินมาเรื่อยๆ แล้วมาแบะกันที่เมืองนี้กันดู เพราะที่เป็นเมืองชายฝั่งที่มี สวนพฤกษชาติ และ หอ Tallinn television และในปี ค.ศ.1980 และเคยถูกใช้ในมอสโคว โอลิมปิคด้วย
เทศกาลสำคัญของเอสโตเนีย
เพราะมีหลายเชื้อชาติ และเผ่าพันธุ์ แต่ชาวเอสโตเนี่ยน ก็มีกิจกรรมต่างๆ มากมายซึ่งจะทำให้ทุกคนในเมือง หรือ แต่ละท้องถิ่น ได้มาสนุกและร่วมทำกิจกรรมกัน รวมถึงนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสเดินทางมายังดินแดนเมืองสวรรค์อย่างกรุงเก่า หรือเมืองอื่นๆ ของเอสโตเนีย ซึ่งแต่ละเมืองก็มีเทศกาลที่สำคัญๆ อีกด้วย
Parnu Contemporary Music Days
Parnu Contemporary Music Days เป็นเทศกาลที่มีการจัดที่นานมาก เพราะอยู่ในระยะเวลาสามสัปดาห์ซึ่งจะมีการบรรยายการประชุมเชิงปฏิบัติการ รวมถึงการจัดนิทรรศการควบคู่ไปกับการแสดงคอนเสิร์ต
Independence Day
Independence Day เป็นวันเฉลิมฉลองการประกาศเอกราชของเอสโตเนีย จัดขึ้นในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ของทุกปี
Midsummer (St John's Day)
เทศกาล Midsummer (St John's Day) เป็นประเพณีที่จุดสิ้นสุดของการทำงานทางการเกษตรในฤดูใบไม้ผลิและรวมถึงการเต้นรำพื้นบ้านต่าง ๆ และมีงานเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรม
Old Town Days
Old Town Days มีการแสดงหลากหลายที่เน้นการใช้ดนตรีพื้นบ้าน, การเต้นรำแบบดั้งเดิมจัดขึ้นในเดือนกรกฏาคม
TARTuFF - Tartu Film Festival
เทศกาลภาพยนตร์ ซึ่งเป็นเทศกาลใหม่ของเอสโตเนีย จัดให้ชมกลางแจ้ง เนื้อเรื่องจะเกี่ยวกับชาติยุโรป
Street Theatre Festival
Street Theatre Festival เป็นเทศกาลที่น่าสนใจที่สุดของเอสโตเนีย กับกลุ่มละครสมัครเล่นจากเบลเยียม,ฟินแลนด์,เอสโตเนีย, ,เยอรมนีและรัสเซียเป็นการแสดงละครบนท้องถนนและในสวนสาธารณะ ซึ่งจัดขึ้นที่จตุรัสของทาลลินน์
นอกจากนี้ยังมีเทศกาล Beach Party Festival ซึ่งเป็นเทศกาลดนตรีที่รู้จักกันดีสำหรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศ มีการแสดงบนเวทีเล็กๆ ซึ่งจัดอยู่บนชายหาด และยังมีเทศกาล Tallinn Baroque Music Festival, เทศกาล Jazzkaarเทศกาลดนตรีแจ๊ส ฯลฯ
การเดินทางจากประเทศไทยไปประเทศ เอสโตเนีย
ประเทศเอสโตเนียไม่มีเที่ยวบินตรง ซึ่งการเดินทางด้วยสายการบิน สามารถเลือกเที่ยวบินจากกรุงเทพฯ ไปเมืองต่างๆ ของประเทศเอสโตเนียได้ ซึ่งสามารถเดินทางไปลงที่สนามบิน ทาลลินน์ , ตาร์ตู, Parnu , คูเรสซาเร่ , คาร์ดล่า
สายการบินสำหรับเดินทางไปประเทศเอสโตเนีย
สายการบิน Aeroflot, ออสเตรียนแอร์ไลน์ , บริติชแอร์เวย์ , ฟินน์แอร์ , กัลฟ์แอร์ , เจ็ทแอร์เวย์ , KLM , ลุฟต์ฮันซา , แควนตัส , กาตาร์แอร์เวย์ , สิงคโปร์แอร์ไลน์ ,การบินไทย ,ตุรกีแอร์ไลน์ ,ยูเครนอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์ไลน์, ลุฟต์ฮันซา , Air China ,
ฯลฯ
สิ่งที่ควรเตรียมก่อนการเดินทางไปประเทศเอสโตเนีย
เนื่องจาก เอสโตเนีย มีภูมิอากาศที่ค่อยข้างหนาว ทำให้การแต่งกาย อาจจะต้องเตรียมไปในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งเสื้อผ้าที่สวม ควรเป็นเสื้อผ้าที่สวมใส่สบาย หรืออาจเป็นแขนยาว ,เสื้อแจ็คเก็ตสำหรับใส่คลุมเวลามีลม หรืออุณหภูมิต่ำ นอกจากเสื้อ ที่ใช้สวมใส่ในช่วงอากาศเย็น แล้ว อาจหาหมวก ถุงมือ และถุงเท้า รวมถึงการแต่งกายที่เหมาะสม และสามารถอดออกได้เป็นชั้น เพื่อปรับให้เหมาะสมกับอุณหภูมิ หรือมีผ้าพันคอบางๆ ซึ่งเมื่อเข้าสู่ภายในอาคาร การปรับอุณหภูมิอากาศจะอบอุ่นขึ้น และควรใส่รองเท้าที่กระชับเท้าและพื้นราบที่สวมสบายหรือสวมใส่ประจำอย่าใช้รองเท้าใหม่ซึ่งอาจจะทำให้กัดเท้าได้ และไม่ควรนำเครื่องประดับที่มีราคาแพงติดตัวไป เสี่ยงต่อการสูญหาย
อาหาร
เวลารับประทานอาหารจะช้ากว่าประเทศไทย ซึ่งอาหารกลางวันจะเริ่มประมาณ 13.00 น.และอาหารเย็นจะเริ่มประมาณ 19.30 น. ส่วนใครที่ต้องเดินทางหลายวันและอยู่ที่เอสโตเนียนานๆ หากมีปัญหาเรื่องอาหาร อาจเตรียม น้ำพริก มาม่าฯลฯ ส่วนน้ำประปาทั่วไป หรือตามโรงแรมไม่ควรดื่มกิน ควรผ่านการต้ม หรือซื้อน้ำดื่มชนิดขวดมีจำหน่ายอยู่ทั่วไป
ข้อกำหนดของสายการบิน
หากคุณนำ ของเหลว เช่น เจล ครีมทาผิว สเปรย์ น้ำหอม โลชั่น โฟม ยาสีฟัน และของอื่นซึ่งมีลักษณะคล้ายกัน
และมีขนาดความจุไม่เกิน 100 มิลฯ ควรนำมาบรรจุในถุงพลาสติกใส เปิด-ปิดผนึกได้ หากผ่านจุดตรวจค้นนำขึ้นเครื่องได้คนละ1 ถุง ถุงละไม่เกิน 1,000 มิลลิลิตร และให้บรรจุในกระเป๋าสัมภาระ ผ่านเข้าขั้นตอนเช็คอิน ยกเว้น นม และอาหารสำหรับเด็ก ยา ในปริมาณที่เหมะสม ซึ่งให้พนักงานที่จุดตรวจค้นเพื่อรักษาความปลอดภัย
กระเป๋าเดินทาง
สำหรับผู้ที่เดินทางชั้นประหยัด ส่วนใหญ่จะมีสิทธิ์นำกระเป๋าใหญ่ส่งขึ้นไปในเครื่องบินได้ 1ใบเท่านั้น แต่น้ำหนักไม่เกิน 23 กิโลกรัม
ค่าทิป
สำหรับค่าทิปพนักงานขับรถหรือไกด์ท้องถิ่น ที่ตามปกติถือเป็นธรรมเนียม ที่ถือว่านักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายทิปให้ไกด์ และให้คนขับรถ ซึ่งคุณควรจะเตรียมเงินไปให้พร้อม
ยาประจำตัว
ใครที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ เตรียมยาเฉพาะไปให้เพียงพอ เพราะการหาซื้อยาเฉพาะโรคเป็นเรื่องที่ยากและเป็นไปไม่ได้ ในต่างประเทศ ของร้านขายยา ที่จะไม่ยอมขายยาหากไม่มีใบสั่งยาจากแพทย์
หลายคนที่เคยล่องเรือบนทะเลสาบน้ำแข็งจากสวีเด็น มายังประเทศเอสโตเนีย ซึ่งถือเป็นประสบการณ์อันน่าประทับใจ และยังเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของนักท่องเที่ยวที่นิยมเดินทางมาที่นี่ ซึ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ จากเมืองกรุงเก่า ซึ่งแม้จะเป็นประเทศที่ไม่ใหญ่มาก แต่ดินแดนแห่งนี้กลับมีภูมิประเทศที่หลากหลาย นำมาซึ่งถูกแต่งแต้มด้วยความงามของทะเลสาบและเนินเขา ทำให้หลายคนขนานนามว่าดินแดนแห่งสวรรค์นั่นเอง