บ่าย
พาท่านเข้าสู่ มหานครปารีส
ชมจุดถ่ายรูป หอไอเฟลที่สวยที่สุดที่ จัตุรัสทรอกาเดโร (Trocadéro) แต่เดิมบริเวณนี้เคยใช้เป็นสถานที่จัดงานสำคัญๆ ของประเทศอยู่หลายครั้ง แต่โด่งดังด้วยเพราะทัศนียภาพที่ท่านจะสามารถเห็น หอไอไฟล (Eiffel) ได้อย่างไม่มีอะไรมาบดบัง โดยหอส่งสัญญาแห่งนี้นั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ของพาปารีสที่พลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง หอไอเฟลนั้น ตั้งตามชื่อของสถาปนิกผู้ออกแบบ กุสตาฟ ไอเฟล เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ในงาน แสดงสินค้าโลก ในปี 1889 แต่ด้วยลักษณะที่แปลกตา สร้างความไม่คุ้นเคยต่อชาวปารีส ถึงขนาดมีการเรียกร้องให้รื้อทิ้งหลังจากงานสิ้นสุดลง แต่หอไอเฟลก็สามารถพิสูจน์ตัวเองและลบคำสบประหม่า จนกลายเป็นสถานที่แรกๆ ที่เมื่อมีคนพูดถึงหรือมีภาพยนตร์เรื่องใดที่จะกลางถึงปารีส ก็จะจะต้องมีโครงสร้างเหล็กเจ้าของความสูง 324 เมตร ที่เคยเป็นอาคารที่สูงที่สุดในโลก แห่งนี้อยู่ด้วยเสมอ
นำท่าน ล่องเรือแม่น้ำแซน ชมบรรยากาศรอบเมืองปารีส เมืองที่ได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน เมืองที่โรแมนติกที่สุดของโลกในอีกมุมหนึ่งโดยในระหว่างทางนั้นจะผ่านสถานที่สำคัญๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น สะพาน Pont de l'alma สะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 พิพิธภัณฑ์ออร์แซ พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ รวมไปถึงอาสนวิหารน็อทร์-ดามแห่งปารีส ถือเป็นอีก 1 กิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาปารีส
นำท่านถ่ายรูปกับ ประตูชัยอาร์กเดอทรียงฟ์ (Arc de Triomphe) วงเวียนที่เชื่อมถนน12 เส้นของปารีสไว้ โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นสดุดีทหารฝรั่งเศสที่ร่วมรบในสงครามต่างๆ โดยเฉพาะในสงครามนโปเลียน เนื่องจากเริ่มสร้างในรัชสมัยของพระองค์หลังได้รับชัยชนะในสงครามยุทธการที่เอาสเทอร์ลิทซ์ เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1805 นอกเหนือจากนั้น ประตูชัยแห่งนี้ก็ยังเป็นที่ฝังศพทหารนิรนามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 อีกด้วย อาร์กเดอทรียงฟ์ มีความสูง 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร และหนาถึง 22 เมตร ซึ่งถือว่าใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก รองจากที่เกาหลีเหนือเท่านั้น ทางทิศตะวันตกยังเป็นที่ตั้งของถนนสายที่โด่งดังที่สุดของโลกสายหนึ่ง นั่นคือ ถนนช็องเซลีเซ (Champs-Élysées) ถนนที่ได้ชื่อมาจากสวนสวรรค์ของเหล่าเทพปกรนัมกรีก ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของการขยายพื้นที่สวยหย่อมของพระราชวังตุยเลอรี โดยเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรป ทรงมีพระราชดำรัสให้นำรูปแบบถนนช็องเซลีเซ มาสร้างเป็นถนนพระราชดำเนินกลางในกรุงเทพมหานคร ว่ากันว่าอัตราค่าเช่าพื้นที่บนถนนแห่งนี้มีมูลค่าสูงที่สุดในยุโรป และเป็นที่ตั้งของสินค้าแบรนด์ระดับโลกมากมายทั้ง Louis Vuitton, Hermès, OMEGA, LACOSTE, Swarovski, Longchamp ก็มีให้เลือกสรรอย่างครบถ้วน หรือหากท่านใดสนใจจิบกาแฟ ทานเบเกอรี่ชิลๆ ตลอดถนนเส้นนี้ก็มีร้านให้ท่านได้เลือกชิมอย่างอัดแน่นเช่นกัน
วันที่ 3
ปารีส - นั่งรถไฟ TGV - สทราซบูร์ - เปอร์ติต ฟรองซ์ - เมืองอินเทอลาเก้น
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านสู่ สถานีรถไฟ Paris Gare de l'Est เพื่อขึ้น รถไฟ เตเชเว (TGV) รถไฟความเร็วสูงสัญชาติฝรั่งเศสที่สามารถทำความเร็วได้สุงสุดถึง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่จะพาท่านลัดสู่ เมืองสทราซบูร์ (Strasbourg) เมืองเล็กๆ ในแคว้นอัลซาส ที่มีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี ซึ่งจะประหยัดเวลาจากการนั่งรถไปถึง 3 ชั่วโมง
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น พร้อมให้ท่านได้ชิมไวน์รสเลิศที่เป็นที่ขึ้นชื่อของแคว้นอัลซาสซึ่งมีคุณภาพไม่แพ้บอร์กโดซ์ และเบอร์กันดี ที่ถือเป็นสุดยอดในแวดวงไวน์เลยทีเดียว
บ่าย
พนำท่านชมความงามของเมืองสทราซบูร์ ที่ย่าน เปอร์ติต ฟรองซ์ (Petite France) หรือ Little France รูปแบบบ้านเรือนจะสร้างในแบบยุคกลางที่จะทำโครงสร้างไม้ และโบกปูนปิดทับ เรียกว่า Half Timber คือครึ่งไม้ ครึ่งปูน ซึ่งเป็นแบบบ้านสไตล์ยุคกลางของยุโรปสุดคลาสสิก คล้ายกับบ้านเรือนของเบล นางเอกจากการ์ตูนดังของค่าย Disney อย่าง Beauty and the Beast
จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีธรรมชาติสวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ทั้งน้ำตก ภูเขา ทะเลสาบ และภูมิทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแบบฉบับสวิส
นำท่านสู่ เมืองอินเทอลาเก้น (Interlaken) เมืองที่อยู่ท่ามกลาง 2 ทะเลสาบ และโอบล้อมด้วย 4 ขุนเขา (ใช้เวลาประมาณ 3.30 ชม.)
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น พร้อมเสิร์ฟ ชีสฟองดู แบบฉบับ สวิสเซอร์แลนด์
ที่พัก
Hotel Metropole ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า (ร้านค้าที่นี่ปิดทำการดึก ประมาณ 21.00 - 22.00 น.)
วันที่ 4
เมืองอินเทอลาเก้น - กรินเดอวาลด์ - ยอดเขายุงฟราวด์ - เลาเทอร์บรุนเนิน - มิลาน - มหาวิหารดูโอโม่ (ด้านนอก)
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
นำท่านสู่ เมืองกรินเดอวาลด์ (Grindelwald) ตั้งอยู่ในเขตอินเทอร์ลาเคิน-โอเบอร์ฮาสลี รัฐแบร์น เมืองอันเป็นจุดเริ่มต้นในการพิชิตยอดเขายุงฟราว Top Of Europe ตั้งอยู่ที่ความสูง 1,034 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ด้วยทัศนียภาพที่เป็นหุบเขา ที่มีบ้านสไตล์สวิสชาเลย์ตั้งอยู่โดยรอบทำให้มีความสวยงามแปลกตาจนเป็นเหมือนหน้าตาของสวิสเซอร์แลนด์ที่คุ้นเคย
จากนั้นพาท่านนั่งรถไฟไต่เขาสู่ สถานีจุงฟราว (Jungfraujoch) เป็นอีก 1 ยอดเขา ของเทือกเขาแอลป์ที่คู่ควรแก่การพิชิตเป็นอย่างยิ่ง โดยที่สถานีแห่งนี้นั้นเป็นสถานีที่สูงที่สุดในทวีปยุโรป ด้วยความสูง 3,454 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งถือเป็นสุดยอดงานวิศวกรรมของการรถไฟในศตวรรษที่ 19 เลยทีเดียว ผู้บุกเบิกการสร้างรถไฟสายนี้นั้น คือ อดอล์ฟ กอเยอร์-เซลเลอร์ (Adolf Guyer-Zeller) ใช้งบประมาณการก่อสร้างประมาณ 16 ล้านฟรังค์ และเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 สิงหาคม 1912 เมื่อถึงแล้ว
นำท่านชม อุโมงค์น้ำแข็ง (Ice Palace) ที่เจาะธารน้ำแข็งลึกเขาไปกว่า 30 เมตร มีประติมากรรมน้ำแข็งอยู่อย่างมากมาย และคงอุณหภูมิอยู่ที่ -3 องศา ตลอดทั้งปี
ชม อุโมงโลกอัลไพน์ (Alpine Sensaton) ที่จัดแสดงวิถีชีวิต วัฒนธรรมและธรรมชาติของชาวเมือง
นอกจากนั้นหากมีเวลาแนะนำให้ท่านชม พิพิธภัณฑ์ช็อคโกแล็ต Lindt และเลือกซื้อกลับเป็นไปเป็นของฝากจากร้านช็อคโกแล็ตที่สุงที่สุดในโลก
นำท่านขึ้นสู่ Jungfrau Panorama view จุดสูงสุดของสถานี ที่ 3,571 เมตร ให้ท่านได้ถ่ายรูปเป็นที่ระลึก
เที่ยง
บริการอาหารกลางวันบนจุงฟราว ให้ท่านได้เต็มอิ่มกับบรรยากาศของทิวทัศน์สุดอลังการ
บ่าย
นำท่านลงสู่อีก 1 เมืองชานเขาจุงฟราว เมืองเลาเทอร์บรุนเนิน (Lauterbrunnen) เมืองสวยอีกเมืองที่ต้องแวะชม เพราะเป็นที่ตั้งของ น้ำตกชเตาบ์บาค (Staubbach) ที่สูงกว่า 300 เมตร ผ่านซอกหน้าผาลงมาแบบไม่มีสิ่งกีดขวาง และเบื้องล่างเป็นหมู่บ้านน่ารักๆ ตัดกับทิวเขาที่ล้อมโดยรอบ
จากนั้นเดินทางไปยังเขตประเทศอิตาลี ที่ครั้งหนึ่งในอดีตนั้นพื้นที่นี้เคยเป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีพื้นที่ครอบคลุมทั้งในทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย และมีทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเป็นดั่งทะเลสาบ
นำท่านเดินทางเข้าสู่ เมืองมิลาน (ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง)
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน
ที่พัก
NH Milano Fiera ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 5
มิลาน - เวนิส - แกรนด์ คาแนล - จัตุรัสเซ้นท์ มาร์ก - พระราชวังดอร์จ - สะพานถอนหายใจ - เมืองโบโลญญ่า
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารโรงแรม
แวะถ่ายรูปด้านหน้า มหาวิหารมิลาน (Duomo di Milano) หนึ่งในโบสถ์ศริสต์สถาปัตยกรรมกอธิคที่ใหญ่ที่สุดในโลก ภายในวิหารเชื่อกันว่ามีการบรรจุหมุดตรึงไม้กางเขนของจริงที่ใช้ในการประหารชีวิตพระเยซูอยู่ ตัวอาคารสีขาวโด่ดเด่น สูง 157 เมตร กว้าง 92 เมตร ประกอบด้วยยอดแหลม 135 ยอด จุดสูงสุดของอาคารเป็นรูปปั้นพระแม่มารีย์ทำจากทองสัมฤทธิ์สูง 4 เมตร บริเวณด้านหน้าตกแต่งด้วยรุปสลักหินอ่อนที่ตกแต่งอย่างปราณีต มหาวิหารแห่งนี้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 1386 โดยตระกูลวิสคอนดิ และใช้เวลาในการสร้างถึง 579 ปี ซึ่งประตูบานสุดท้ายซึ่งถือเป็นการก่อสร้างที่เสร็จสมบูรณ์ได้ถูกประกอบในปี 1965
จากนั้นนำท่านเดินทางสู่ เมืองเวนิส (Venice Mestre) ฝั่งแผ่นดินใหญ่เมืองหลวงของแคว้นเวเนโต เวนิสถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียติก เป็นเมืองท่าโบราณ และเป็นเมืองที่ใช้คลองในการคมนาคมมากที่สุด
นำเดินทางสู่ ท่าเรือตรอนเคตโต้ (Tronchetto)
นำท่านล่องเรือผ่านชมบ้านเรือนของชาวเวนิส สู่ เกาะเวนิส หรือ เวเนเซีย (Venezia) ดินแดนแสนโรแมนติก เป็นเมืองที่ไม่เหมือนใคร โดยใช้เรือแทนรถ ใช้คลองแทนถนน มีสมญานามว่าเป็น "ราชินีแห่งทะเลเอเดรียติก" มีเกาะน้อยใหญ่กว่า 118 เกาะ และมีสะพานเชื่อมถึงกันกว่า 400 แห่ง ขึ้นฝั่งที่บริเวณ ซานมาร์โคศูนย์กลางของเกาะเวนิส
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น เมนูพิเศษ สปาเก็ตตี้เส้นหมึกแบบเวนิส
บ่าย
นำท่านเดินชมความงามของ เกาะเวนิส
นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสเซ็นท์ มาร์ค (St. Mark's Square) ที่จักรพรรดินโปเลียนยกย่องว่าเป็นห้องรับแขกที่สวยที่สุดของยุโรป และยังเป็นที่ตั้งของ มหาวิหารซันมาร์โก (San Marco Basilica) มหาวิหารประจำเขตอัครบิดรเวนิส สร้างขึ้นในแบบสถาปัตยกรรมไบแซนไทน์ซึ่งหาได้ยากในปัจจุบัน เนื่องจากถูกทำลายไปเกือบหมดสิ้นในครั้งที่ออกโตมันเข้ายึด แต่วิหารแห่งนี้อยู่ไกลจากเขตสงครามมาก เป็นที่เก็บอัฐินักบวชมาร์โกแห่งอเล็กซานเดรียที่ชาวเวนิสนำมา ซึ่งภายในโบสถ์นั้นจะมีภาพโมเสกบอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้นอยู่ โดยเซ็นท์มาร์โกถือว่าเป็นนักบวชที่สำคัญในการเผยแพร่ศาสนาในสมัยศตวรรษที่ 5 สำหรับตัวมหาวิหารจะเชื่อมกับ พระราชวังดอร์จ (Doge's Palace) พระราชวังแบบเวนิส-โกธิคที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับของดยุคแห่งเวนิสครั้งที่เมืองนี้ยังเป็น สาธารณะรัฐเวนิส ก่อนได้รับการปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์และเปิดอย่างเป็นทางการในปี 1923 และยังมี หอระฆังซันมาร์โก (St Mark's Campanile) หอระฆังสูง 98.6 เมตร โดยอิงการสร้างจากรูปแบบเดิมในปี 1514 และพังทลายลงในปี 1902 ไม่ไกลกันจะเป็นที่ตั้งของ สะพานถอนหายใจ (Bridge of Sighs) สะพานซุ้มโค้งที่เชื่อมระหว่างพระราชวังดอร์จและเรือนจำ โดยสาเหตุที่ได้ชื่อว่าสะพานถอนหายใจนั้นมีอยู่หลายเรื่องเล่า ไม่ว่าจะเป็นการถอนหายใจของนักโทษที่กำลังเดินผ่านสะพานแห่งนี้ซึ่งทราบดีว่า แสงอาทิตย์ที่สาดผ่านเข้ามาจะเป็นแสงสุดท้ายก่อนที่ตนใจเข้าเรือนจำ บ้างก็ว่ามีคู่รักคู่หนึ่งได้นั่งเรือกอนโดร่ามาที่บริเวณสะพานแห่งนี้ได้จุมพิตกันและถอนหายใจด้วยความสุขที่รักของตนจะเป็นนิรันดร์ แต่เรื่องที่ทำสะพานนี้โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น นักรักบันลือโลกแห่งเวนิสอย่าง จิอาโคโม จิโรลาโม คาสโนวา ซึ่งเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถออกจากเรือนจำแห่งนี้ได้ โดยเรื่องราวของชายหนุ่มมากด้วยวาทะศิลป์คนนี้ถูกตีพิมพ์และโด่งดังในปี 1855 และถูกทำเป็นภาพยนตร์ในปี 2005
**หมายเหตุ**
ทั้งนี้ไม่รวมค่านั่งเรือกอนโดล่า หากท่านสนใจนั่งเรือกอนโดล่า สามารถแจ้งทางหัวหน้าทัวร์เพื่อประสานงานให้ได้ ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ท่านติดต่อกับเรือเองเพื่อความปลอดภัยของท่านเนื่องจากอาจมีมิจฉาชีพแอบแฝงตัวมา
จากนั้นนำท่านล่องเรือกลับขึ้นสู่ ฝั่งเมสเตร้ เพื่อเดินทางสู่ เมืองโบโลญญ่า (Bologna) (ใช้เวลาประมาณ 2.30 ชั่วโมง) เมืองหลักของแคว้นเอมีเลีย-โรมัญญา อีก 1 เมืองสุดคลาสสิคอันเป็นที่ตั้งของ Alma Mater Studiorum มหาวิทยาลัยที่ก่อตั้งในปี 1088 ซึ่งถือว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ยังเปิดทำการอยู่
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารท้องถิ่น
ที่พัก
NH Bologna Villanova ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 6
เมืองโบโลญญ่า - จัตุรัสแมกจิโอเร่ - บาเบอร์ริโน่ ดีไซน์เนอร์ เอ้าท์เลท - ปิซ่า - หอเอนเมืองปีซ่า - เมืองฟลอเรนซ์ - จัตุรัสไมเคิลแองเจลโล่
เช้า
บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
นำท่านชม จัตุรัสแมกจิโอเร่ (Piazza Maggiore) ที่ถือเป็นใจกลางเมืองประกอบไปด้วยสิ่งปลูกสร้างสำคัญมากมาย อาทิ มหาวิหารซาน เปโตรนิโอ มหาวิหารโกธิคขนาดใหญ่ โบสถ์ ซานตามาเรีย เดล วีต้า โบสถ์คาทอลิกที่แทรกตัวอย่างกลมกลืนกับตัวเมือง รวมไปถือ หอคอยคู่ ที่เป็นดั่งสัญลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ โดยสร้างขึ้นมาตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 10 เพื่อแสดงความมีอำนาจของ 2 ตระกูลใหญ่ที่ปกครองเมืองในขณะนั้น
เดินทางสู่ บาเบอร์ริโน่ ดีไซน์เนอร์ เอ้าท์เลท (Barberino Designer Outlet) (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) ให้ท่านได้อิสระเลือกซื้อสินค้าแบรนด์เนมทั้งเสื้อผ้า นาฬิกา กระเป๋า และอีกมากมาย โดยมีแบรนด์ดังๆ ที่ท่านรู้จักเป็นอย่างดี เช่น FOSSIL VANS Nike Calvin Klein Superdry THE NORTH FACE และมากมาย
เที่ยง
**อิสระอาหารกลางวัน เพื่อความสะดวกและไม่เป็นการรบกวนเวลาช้อปปิ้งของท่าน**
บ่าย
นำท่านเดินทางไปยัง เมืองปิซ่า (Pisa) เมืองทางตะวันตกของฟลอเรนซ์ เมืองที่มี 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลางอยู่ (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.)
เข้าชม จัตุรัสเปียซซา เดล ดูโอโม (Piazza Del Duomo) อันเป็นที่ตั้งหอเอนเมืองปีซ่า (Leaning Tower of Pisa) หอระฆังทรงกระบอก 8 ชั้น ที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสูง 55.86 เมตร มีน้ำหนักประมาณ 14,500 ตัน โดยเอกลักษณ์และสาเหตุที่ทำให้หอระฆังแห่งนี้ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั้นคือการที่ตัวอาคารมีลักษณะเอียงไปทางเหนือประมาณ 3.97 องศา หอเอนแห่งปิซ่าแรกเริ่มสร้างในปี 1174 แต่เมื่อสร้างขึ้นไปเพียง 3 ชั้น ฐานอาคารก็เกิดการทรุดตัวลง เนื่องจากเนื้อดินในบริเวณนี้ไม่มีชั้นหินแทรก ประกอบกับตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำอาร์โน ทำให้ดินมีความชื้นและเหลวกว่าปกติ จนทำให้ต้องยุติการก่อสร้างไปกว่า 94 ปี จนกระทั่งปี 1272 สถาปนิกนาม จีโอวานี ดี ซีโมเน่ (Giovanni di Simone) ได้มาสานต่อด้วยเทคนิกการสร้างให้เพดานไม่เท่ากันเพื่อรักษาอาหารให้สมดุล แต่ก็ต้องยุติการก่อสร้างในปี 1284 จากภัยสงคราม ก่อนชั้นที่ 7 ของอาคารจะเสร็จในปี 1319 และตัวหอระฆังถูกเติมจนเสร็จสิ้นเมื่อปี 1372 นับเป็นเวลาร่วม 199 ปี นับจากวันที่เริ่มสร้าง โดยตัวอาคารเคยเอียงมากสุดถึง 5.5 องศา ในปี 1990 ให้ท่านได้ชมบริเวณรอบหอระฆังแห่งนี้พร้อมเก็บรูปเป็นที่ระลึก
จากนั้นเดินทางมาที่ เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง) ขึ้นชมวิวมุมสูงจากจัตุรัสไมเคิลแองเจลโล่ (Piazzale Michelangelo) ที่สร้างขึ้นในปี 1869 บนเขาทางตอนใต้ของใจกลางเมือง จากตรงนี้ท่านสามารถเห็นเมืองฟลอเร้นซ์ทั้งเมืองที่มีแม่น้ำอาร์โนไหลผ่าน มี อาสนวิหารซันตามาเรียแห่งฟลอเรนซ์ (Santa Maria del Fiore Cathedral) ศาสนสถานที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ขอยุโรป และเป็นอาคารที่สูงที่สุดในเมือง เด่นตระหง่านด้วยโดมสีส้มขนาดใหญ่ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าใช้เทคโนโลยีใดในการสร้าง โดยสถาปนิกที่สามารถทำได้สำเร็จก็คือ ฟิลิโป้ บัวเนเลสกี้ หลังจากตัวหลังคาถูกทิ้งให้โล่งกว่าร้อยปี และยังเห็น สะพานเวคคีโอ้ (Ponte Vecchio) สะพานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของเมือง โดดเด่นด้วยหน้าตา เพราะว่าไม่ใช่แค่สะพานธรรมดา แต่เป็นสะพานที่มีทั้งร้านค้า โรงเตี้ยม และร้านอาหารเรียงรายตลอดสะพานแห่งนี้
ค่ำ
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารอาหารจีน
ที่พัก
The Gate Hotel ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 7
ฟลอเรนซ์ - โรม - นครรัฐวาติกัน - มหาวิหารเซ้นท์ ปีเตอร์ - โครลอสเซียม - โรมัน ฟอรั่ม - น้ำพุเทรวี่ - บันไดสเปน
เช้า
บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
เดินทางสู่ศูนย์กลางการปกครองของอิตาลีที่ กรุงโรม (Rome) (ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง) เมืองหลวงของประเทศ และเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองถือเป็นรากฐานของสังคมและวัฒนธรรมของชาติยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ปฏิทินตามหลักสุริยะคติ กฎหมาย การประชุมในสภาในรูปแบบสาธารณรัฐ เป็นต้น
เที่ยง
บริการอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคารท้องถิ่น บริการท่านด้วยพิซซ่ามาการิต้า พิซซ่าต้นฉบับสไตล์อิตาลีที่บ่งบอกความเป็นต้นตำหรับจากสีของธงชาติอิตาลี คือ สีแดงจากซอสมะเขือเทศ สีขาวจากชีส และสีเขียวจากออริกาโน่
บ่าย
นำท่านสู่ นครรัฐวาติกัน (State of the Vatican City) นครแห่งคริสจักรที่อยู่ในกรุงโรม ถือเป็นศูนย์กลางของคริสศาสนิกชน นิกายโรมันคาทอลิก เป็นที่ประทับของพระสันตะปาปา และประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญ
นำท่านถ่ายรูปบริเวณ จัตุรัสนักบุญปีเตอร์ (St. Peter’ Square) ออกแบบโดย จาน ลอเรนโซ เบอร์นินี อีกหนึ่งประติมากรผู้ได้ฉายาว่า สามารถเสกหินอ่อนให้หายใจได้ จัตุรัสสามารถจุคนได้ประมาณ 60,000 คน ตรงกลางมีเสาโอบีสิสหินแกรนิตแดง สูง 25.5 เมตร จากอียิปต์ ซึ่งเป็นการแสดงถึงแสงยานุภาพของโรมันที่มีต่อประเทศในยุโรปและแถบเมดิเตอร์เรเนียนในขณะนั้น
ด้านหลังจัตุรัสจะเป็น มหาวิหารนักบุญปีเตอร์ (St. Peter’ Basilica) ศาสนสถานของคริสต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นที่ฝังพระศพของพระสันตะปาปาพระองค์แรกที่ถูกลงโทษประหารชีวิตด้วยการตรึงไม้กางเขนในสมัยของจักรพรรดิเนโร เมื่อปี ค.ศ. 68 ถือเป็นศูนย์รวมทั้งทางกายและทางในของวาติกัน โดยมหาวิหารแห่งนี้ได้สร้างทับวิหารหลังเดิมที่สร้างในสมัยศตวรรษที่ 4 ออกแบบโดยมีเกลันเจโลสุดยอดจิตกรร่วมสมัยกับดาวินชี่ ภายในถูกตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยหินอ่อน โดยมีประติมากรรมชื่อก้องโลกอย่าง ปีเอต้า (Pietà) เป็นรูปปั้นพระแม่นารีย์ทรงโอบอุ้มพระเยซูหลังจากสิ้นพระชนม์ ซึ่งทำจากหินอ่อนเพียงก้อนเดียวและใช้เวลาในการแกะสลัก 7 ปี (ในกรณีมีพิธีด้านใน อาจจะไม่ได้รับการเข้าชม)
นำท่านเก็บรูปเป็นที่ระลึกบริเวณด้านนอก กับความยิ่งใหญ่ของ อีก 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคกลาง ต้นแบบของสนามกีฬาของโลก เป็นแหล่งบันเทิงที่ใหญ่ที่สุดในโรมัน โคลอสเซี่ยม (Colosseum) หรือชื่ออย่างเป็นทางการว่า ฟราเวียนแอมฟิเธียเตอร์ สร้างขึ้นในสมัยของจักพรรดิเวสปาเซียนในปี ค.ศ. 70 ก่อนเปิดอย่างเป็นทางการในอีก 10 ปีต่อมาในสมัยพระเจ้าไททัส เป็นสนามกีฬาที่จะเป็นการประชันการต่อสู่ระหว่างเหล่านักรบกลาดิเอเตอร์ด้วยกันเอง และกับสัตว์ดุร้าย เช่น สิงโต ช้าง แรด เป็นต้น โดยบ้างก็กล่าวกันว่าการต่อสู้ในโคลอสเซี่ยมทำให้สัตว์บางชนิดแทบจะศูนย์พันธุ์เลยทีเดียว การสร้างอาคารแบบอัฒจันทร์กลม 3 ชั้นขนาดใหญ่แห่งนี้ยังถือว่าเป็นการผลิตซีเมนต์แห่งแรกๆ ของโลกอีกด้วย ถัดกันไม่ไกลพาท่าน
ผ่านชม โรมันฟอรั่ม (Roman’s Forum) อดีตศูนย์กลางทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของอาณาจักรโรมัน โดยบริเวณนี้นั้นเป็นที่ตั้งของประตูชัย 2 แห่ง ที่เป็นต้นแบบของฝรั่งเศส นั่นคือ ประตูชัยคอนสแตนติน สร้างขึ้นในครั้งที่พระเจ้าคอนสแตนตินได้ชัยชนะเหนือพระเจ้าแมกเซนเทียส และประตูชัยไททัสที่สร้างขึ้นหลังจากได้รับชัยชนะเหนือเมืองเยลูซาเล็มในปี 81
พาท่านชมความงามของ น้ำพุเทรวี่ (Trevi Fountain) ที่มักกล่าวกันว่าเป็นน้ำพุที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่แท้จริงแล้วน้ำพุแห่งนี้เป็น 1 ใน จุดพักน้ำจากสะพานส่งน้ำเท่านั้น แต่ด้วยความสวยงามในรูปแบบสถานปัตยกรรมแบบบาโรก ตรงกลางมีรูปปั้นเนปจูนหรือเทพโพไซดอนพร้อมเหล่าอาชาอยู่ โดยที่มาของชื่อน้ำพุแห่งนี้นั้นมาจากหญิงชาวโรม นามเทรวี่ที่ได้บริจากพื้นที่บริเวณนี้ให้เป็นสาธารณะประโยชน์ บริเวณด้วยรอบยังมีร้านไอศครีมเจลาโต้รสเลิศ ของขึ้นชื่อของอิตาลีที่มีหลากหลายรส ถัดกันไปไม่ไกล พาท่านเดินชมและถ่ายรูปบริเวณ บันไดสเปน (Spanish Steps) บันไดที่กว้างที่สุดในยุโรป เชื่อมระหว่างจัตุรัสสปังนา กับโบสถ์ทรีนิตี้ หากจุดโรแมนติกของปารีสคือหอไอเฟล บันไดสเปนก็เปรียบได้เช่นนั้น เพราะภาพยนตร์รักหลากหลายเรื่องที่ถ่ายทำในโรมนั้น ก็มักจะไม่พลาดที่จะให้คู่พระนางบอกรักหรือจุมพิตกันที่บันไดแห่งนี้ นอกจากนั้นยังมีสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายให้
ท่านได้เลือกสรรค์อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น Gucci, Louis Vuitton, Prada, Longchamp, Chanel, DIOR, Balenciaga เป็นต้น แต่หากสนใจชิมกาแฟเอสเปรสโซ่ต้นตำหรับ ก็มีร้านกาแฟมากมายให้ท่านได้ลิ้มลอง
ค่ำ
บริการอาหารค่ำ ณ ภัตตาคารอาหารจีน
ที่พัก
Hotel Capannelle ระดับ 4 ดาวหรือเทียบเท่า
วันที่ 8
โรม - ท่าอากาศยานนานาชาติฟูมิซิโน่
เช้า
บริการอาหาร ณ ห้องอาหารของโรงแรม
สมควรแก่เวลา นำท่านเดินทางสู่ ท่าอากาศยานนานาชาติฟูมิซิโน่ (Fiumicino Intl’ Airport) เพื่อให้ท่านได้มีเวลาทำการคืนภาษี (Vat Refund)
13.30 น.
ออกเดินทางกลับสู่ กรุงเทพฯ ประเทศไทย โดย สายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG945 (บริการอาหารและเครื่องดื่มบนเครื่อง)
วันที่ 9
สนามสุวรรณภูมิ - กรุงเทพฯ
05.20 น.
ถึง ท่าอากาศยานนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ